วันพุธที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

always, usually, often, sometimes, never ใช้แตกต่างกันอย่างไร

คำแสดงความถี่ หรือความบ่อย (Adverbs of Frequency) ใช้แสดงความถี่ หรือความบ่อยของการกระทำ จะช่วยตอบคำถามที่ขึ้นต้น “How often ……..?” หรือ “How frequently ……?” คำแสดงความถี่ หรือความบ่อยที่ควรทราบได้แก่คำต่อไปนี้ always, usually, often, sometimes, neverซึ่งคำแสดงความถี่นี้จะแสดงความถี่ของการกระทำต่างกันตามลำดับจากมากสุดไปหาน้อยสุด ดังนี้



วีดิโอที่น่าสนใจ : always,usually,often,sometimes,never ใช้แตกต่างกันอย่างไร 


วันพฤหัสบดีที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2557

เมื่อถูกชาวต่างชาติถามเส้นทาง ต้องทำยังไง!?!



** คำศัพท์ **
Go straight (โกสเตรท์) – ตรงไป         
Turn right (เทิรน์ไรท์) – เลี้ยวขวา
Turn left (เทิรน์เล็ฟท์) – เลี้ยวซ้าย         
Right side (ไรท์ไซด์) – ฝั่งขวา
Left side (เล็ฟท์ไซด์) – ฝั่งซ้าย                  
Between (บีทวีน)-อยู่ระหว่าง
Across from (อะครอสฟรอม) – ตรงข้าม      
Next to (เน็กซท์ทู) – ข้างๆ
Around (อะเราน์ดฺ) – ใกล้ๆ
At the corner (แอ๊ทเดอะคอร์เนอร) – ตรงหัวมุม

**บอกเส้นทางโดยให้เดินไป
Go straight ahead as far as the traffic lights. Then turn right .
โก สเตร้ท อะเฮด แอส ฟา แอส เธอะ แทรฟฟิก ไล้ส เธน เทิน ไร้ท )
เดินตรงไป จนถึงสัญญาณ ไฟจราจร แล้วเลี้ยวขวา
บอกจุดเริ่มต้น = You are here .
ยู อาร์ เฮีย )
คุณอยู่ตรงนี้
When you go out of the hotel……..
เว็น ยู โก เอ้า อ๊อฟ เธอะ โฮเทล)
เมื่อคุณออกจากโรงแรม…. จากนั้นก็ต่อด้วยข้อความต่อไปนี้
ข้ามถนน = Cross over the road.
เดินตรงไป = walk along the road / Walk straight on / Go straight on.
เดินผ่านโรงเรียน = Walk pass the school / Go pass the school.
เดินไปประมาณ นาที = Walk for about 5 minutes
สี่แยก = Intersection / crossroads
สามแยก = Junction
ไฟจราจร = Traffic lights
สุดถนน = at the end of the road.
ข้างขวา / ข้างซ้าย = on your right / left
ติดกับโรงเรียน = next to school
ก่อนถึงโรงเรียน = just before school
มุมถนน = at the corner

**บอกเส้นทางโดยให้ใช้รถแท็กซี่
- You can catch a taxi / take a taxi . It will take you there in 5 minutes.
ยู แคน แคช อะ แท็คซิ / เทค อะ แท็คซิ อิท วิวล์ เทค ยู แดร์ อิน เทน มินิทส )
คุณสามารถไปรถแท็กซี่ และจะพาคุณไปที่นั่นใน นาที

**บอกเส้นทางโดยใช้รถประจำทาง
Take a number 540 bus. That’ll take you pass…(บอกสถานที่ ) and then you get off at…
(เทค อะ นัมเบอร์ 540 บัส แธทอิล เทค ยู พาสท……… แอนด์ เธน ยู เกท ออฟ แอท
ไปรถประจำทางเบอร์ 540 ก็จะผ่าน….(สถานที่) จากนั้นลงรถที่….. (บอกสถานที่)
สำนวนที่น่าสนใจเกี่ยวกับการใช้รถประจำทาง
ขึ้นรถ = take / catch / get on
เทค / แคช / เกท ออน
ลงรถ = get off.
เกท ออฟ )
เบอร์รถ = bus number 540 / a number 540 bus
บัส นัมเบ่อร์ 540 / อะ นัมเบ่อร์ 540 บัส )
(ข้อสังเกต เมื่อใช้ bus number 21 จะไม่มี article ‘ a ‘ นำหน้า)
ป้ายรถเมล์ = bus stop
บัส สตอพ )
รถแล่นผ่านอะไรบ้าง = It will take you pass………
อิท วิว เทค ยู พาส ) บอกสถานที่ว่าผ่านอะไร?

ประโยคที่นิยมใช้เขียน E-mail เป็นภาษาอังกฤษ

หลักการใช้คำขึ้นต้น e-mail ซึ่งในภาษาอังกฤษ เรียกว่า “Salutation” กันก่อน ดังนี้

• ในกรณีที่เป็นทางการ ให้ใช้คำขึ้นต้นว่า 
Dear Mr. / Ms. / Dr. / Professor + นามสกุลผู้รับ + comma (,) หรือ colon (:)

อาทิเช่น “Dear Mr. Hogan:” หรือ “Dear Ms. Lane,” เป็นต้น 

โดยถ้าเป็นผู้หญิง คุณอาจจะใช้คำว่า “Ms.” ซึ่งจะเหมาะกว่าคำว่า “Miss” (นางสาว) หรือ “Mrs.” (นาง) เพราะสามารถใช้ได้ทั้งกับผู้หญิงที่ยังโสดหรือแต่งงานแล้วก็ได้ และต้องตามด้วยนามสกุลนะครับ ไม่ใช้ชื่อต้นอย่างที่คนไทยนิยมเรียกกัน และให้ลงท้ายด้วยเครื่องหมาย comma (,) หรือ colon (:) ซึ่งถ้าใช้ colon จะเป็นทางการกว่า comma

• ในการเขียน e-mail จะต่างจากการขึ้นต้นจดหมายทั่วไป เพราะคุณสามารถละคำว่า “Dear” ได้ เช่น “Ms. Lane,” เป็นต้น

• คุณอาจจะเรียกชื่อต้นของผู้รับได้ในกรณีที่ผู้รับลงท้าย e-mail ที่ส่งมาให้คุณก่อนหน้านี้ด้วยชื่อต้น หรือในกรณีที่คุณรู้จักผู้รับเป็นอย่างดีและเรียกชื่อต้นเวลาพูดคุยกัน ซึ่งจะเป็นการแสดงความเป็นกันเองและสนิทสนมคุ้นเคยกันมากขึ้น เช่น “Karen,” หรือ “Hi Karen,”

• กรณีที่ไม่สามารถระบุชื่อผู้รับได้ คุณอาจจะใช้วลีว่า “To Whom It May Concern:” หรือ “Dear Sir or Madam:” ซึ่งแปลเป็นภาษาไทยได้ว่า “เรียนท่านผู้ที่เกี่ยวข้อง” หรืออาจใช้ “Dear + ตำแหน่ง” ก็ได้ เช่น “Dear Sales Manager:”, “Dear Customer:” หรือจะละคำขึ้นต้นไปเลยก็ได้ แต่ห้ามใช้ “Dear + ชื่อบริษัท” เช่น “Dear X company:”

• สำหรับคำลงท้าย การเขียน e-mail มักจะไม่ต้องลงท้ายด้วย “Sincerely,” หรือ “Your truly,” เหมือนจดหมาย แต่เรามักจะนิยมใช้ “Regards,” หรือ “Best regards,” แล้วลงชื่อผู้ส่งในบรรทัดต่อมา ซึ่งถ้าคุณไม่เคยติดต่อผู้รับมาก่อนและอยากให้เป็นทางการ อาจจะลงท้ายด้วยชื่อต้นและนามสกุลแบบเต็มยศ เช่น

I am looking forward to hearing from you.
Stefan Gill

รูปแบบประโยคนี้ควรจำเพื่อนำไปใช้เลยนะครับ “I am looking forward to + กิริยาเติม ing” หรือถ้าไม่เป็นทางการมากนักอาจจะใช้ “Looking forward to + กิริยาเติม ing” แปลเป็นไทยว่า “ฉันตั้งหน้าตั้งตารอที่จะ...” หรือถ้าคุณอยากลงท้ายด้วยการฝากความคิดถึง คุณอาจจะใช้คำว่า “Give my regards to…” หรือ “Best wishes to…” แต่ถ้าเป็นคนสนิทกันอาจลงท้ายแบบเป็นกันเองว่า “Speak to you soon” หรือ “See you soon” หรือ “Bye (for now)” หรือ “All the best” ก็ได้

เมื่อเกริ่นถึงคำขึ้นต้นและคำลงท้ายแล้ว ต่อไปผมจะยกตัวอย่างรูปประโยคที่นิยมใช้ในการเขียน e-mail ซึ่งมีแบบทั้งเป็นทางการและไม่เป็นทางการให้คุณลองนำไปใช้ในการเขียน e-mail ในชีวิตประจำวันดูนะครับ

การอ้างถึงการติดต่อครั้งก่อน (Previous Contact)

แบบเป็นทางการ (Formal)

- Thank you for your e-mail of …(ขอบคุณสำหรับ e-mail ของคุณเรื่อง…)
- Further to your last e-mail, …(อ้างถึง e-mail ล่าสุดของคุณ, ...)
- I apologize for not getting in contact with you before now. (ต้องขอโทษด้วยที่ไม่ได้ติดต่อคุณก่อนหน้านี้)

แบบไม่เป็นทางการ (Informal)

- Thanks for your e-mail. (ขอบใจสำหรับ e-mail ของคุณ)
- Re your e-mail, … (อ้างถึง e-mail ของคุณ, ...)
- Sorry I haven’t written for ages, but I’ve been really busy. (ขอโทษที่ไม่ได้เขียนหาคุณมานาน ฉันยุ่งจริงๆ)

จุดประสงค์ของการเขียน e-mail (Reason for Writing)

แบบเป็นทางการ (Formal)
- I am writing in connection with…หรือ I am writing with regard to…
(ฉันเขียนมาเกี่ยวกับ...)
- In reply to your e-mail, here are… (เพื่อตอบ e-mail ของคุณ, นี่คือ...)
- Your name was given to me by… (ฉันได้ชื่อของคุณมาจาก...)
- We would like to point out that… (เราอยากจะชี้แจงว่า...)

แบบไม่เป็นทางการ (Informal)
- Just a short note about…หรือ I’m writing about… (ฉันเขียนมาเกี่ยวกับ...)
- Here’s the … you wanted. (นี่คือ ... ที่คุณต้องการ)
- I got your name from… (ฉันได้ชื่อของคุณมาจาก...)
- Please note that… (ขอให้ทราบว่า...)

ให้ข้อมูล (Giving Information)

แบบเป็นทางการ (Formal)
- I’m writing to let you know that…(ฉันเขียนมาเพื่อให้คุณทราบว่า...)
- We are able to confirm that…(เราอยากจะยืนยันว่า...)
- I am delighted to tell you that…(ฉันดีใจที่จะบอกคุณว่า...)
- We regret to inform you that…(เราเสียใจที่จะแจ้งให้คุณทราบว่า...)

แบบไม่เป็นทางการ (Informal)
- Just a note to say… (แค่อยากจะบอกว่า...)
- We can confirm that… (เรายืนยันว่า...)
- Good news! (ข่าวดี!)
- Unfortunately, … (โชคไม่ดี,...)


การแนบไฟล์ (Attachment)

แบบเป็นทางการ (Formal)

- Please find attached my report. โปรดดูรายงานของฉันในไฟล์แนบ

- I’m sending you…as a pdf file. ฉันส่ง....มาให้คุณในไฟล์รูปแบบ pdf




แบบไม่เป็นทางการ (Informal)

- I’ve attached…. ฉันแนบ...

- Here is the…. you wanted. นี่คือ....ที่คุณต้องการ




สอบถามข้อมูล (Asking for Information)

แบบเป็นทางการ (Formal)

- Could you give me some information about…? กรุณาส่งข้อมูลเกี่ยวกับ…ให้ฉันได้ไหม?

- I would like to know… ฉันอยากทราบ...

- I’m interested in receiving/finding out… ฉันสนใจที่จะได้รับ...

แบบไม่เป็นทางการ (Informal)

- Can you tell me a little more about…? คุณช่วยบอกฉันเพิ่มเติมเกี่ยวกับ....ได้ไหม?

- I’d like to know… ฉันอยากรู้...

- Please send me… ช่วยส่ง….มาให้ฉัน




ขอร้อง (Requests)

แบบเป็นทางการ (Formal)

- I’d be grateful if you could… ฉันขอบคุณถ้าคุณช่วย...

- I wonder if you could… คุณกรุณาช่วย....ได้ไหม?

- Do you think I could have…? คุณพอจะช่วยฉันให้มี....ได้ไหม?

- Thank you in advance for your help in this matter. ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับความช่วยเหลือ




แบบไม่เป็นทางการ (Informal)

- Please could you… คุณช่วย...ได้ไหม?

- Could you…? คุณช่วย...ได้ไหม?

- Can I have…? ฉันอยากได้....ได้ไหม?

- I’d appreciate your help on this. ฉันซาบซึ้งในความช่วยเหลือของคุณ



เสนอความช่วยเหลือ (Offering Help)

แบบเป็นทางการ (Formal)

- Would you like me to…? คุณอยากจะให้ฉัน....หรือไม่?

- If you wish, I would be happy to… ถ้าคุณต้องการ ฉันเต็มใจที่จะทำ...

- Let me know whether you would like me to… บอกให้ฉันรู้ว่าคุณอยากจะให้ฉัน...หรือไม่




แบบไม่เป็นทางการ (Informal)

- Do you want me to…? คุณต้องการให้ฉัน...ไหม?

- Shall I…? ฉันจะ...ได้ไหม?

- Let me know if you’d like me to…? บอกให้ฉันรู้ว่าคุณอยากจะให้ฉัน...หรือไม่




ประโยคส่งท้าย (Final Comments)

แบบเป็นทางการ (Formal)

- Thank you for your help. ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือของคุณ

- Do not hesitate to contact us again if you require any further information. อย่าลังเลที่จะติดต่อเราอีกครั้งถ้าคุณต้องการข้อมูลเพิ่มเติม

- Please feel free to contact me if you have any questions. My direct line is… ตามสบายถ้าจะติดต่อฉันในกรณีที่มีคำถามอื่นๆ สายตรงถึงฉันคือ...




แบบไม่เป็นทางการ (Informal)

- Thanks again for… ขอบคุณอีกครั้งสำหรับ…

- Let me know if you need anything else. บอกให้ฉันรู้ถ้าคุณต้องการอะไรเพิ่มเติม



- Just give me a call if you have any questions. My number is… เพียงโทรหาฉันถ้าคุณมีคำถามอื่นๆ เบอร์ของฉันคือ...

คลิปที่น่าสนใจ: 
Learn English - How to write a Formal Letter?
Writing a Personal Letter




Pronoun โดย อาจารย์ สำราญ คำยิ่ง


Pronoun


  Pronoun   (คำสรรพนาม)    คือคำที่มีไว้สำหรับ(พูด,เขียน)แทนชื่อของคน,สัตว์,สิ่งของ,และสถานที่เพื่อป้องกันมิให้กล่าวชื่อนั้นซ้ำๆซากๆ ซึ่งเป็นการฟังไม่ไพเราะ
Pronoun   มีอยู่ 8 ชนิดด้วยกันคือ
       1.  Personal Pronoun บุรุษสรรพนาม
2.    Possessive  Pronoun  สามีสรรพนาม
3.    Definite   Pronoun  นิยมสรรพนาม
4.    Indefinite  Pronoun  อนิยมสรรพนาม
5.    Interrogative  Pronoun   ปฤจฉาสรรพนาม
6.    Relative  Pronoun  ประพันธ์สรรพนาม
7.    Reflexive  Pronoun  สรรพนามสะท้อนหรือเน้น
8.    Distributive Pronoun  วิภาคสรรพนาม

                1Personal Pronoun บุรุษสรรพนาม คือสรรพนามที่ใช้แทนชื่อของผู้พูดผู้ฟังและผู้ที่ถูกกล่าวถึง  ซึ่งมีอยู่ 2  พจน์  3  บุรุษ คือ


เอกพจน์
พหูพจน์
บุรุษที่     1
I
we
บุรุษที่     2
you
you
บุรุษที่     3
he,   she,    it
the


Personal   Pronoun   แบ่งได้  5  รูป คือ

รูปที่  1
รูปที่ 2
รูปที่ 3
รูปที่  4
รูปที่ 5
I
Me
My
mine
myself
We
us
Our
ours
ourselves
You
you
Your
yours
yourself
He
him
his
his
himself
she
her
Her
hers
herself
It
It
its
its
itself
they
them
there
theirs
themselves

              2.  Possessive Pronoun สามีสรรพนาม   คือสรรพนามที่ใช้แสดงความเป็นเจ้าของ ซึ่งก็คือบุรุษสรรพนามรูปที่  4  นั่นเอง  เวลาใช้ไม่ต้องมีนามตามหลัง  มีหน้าที่ 3 อย่างคือ
2.1     เป็นประธานของกิริยาในประโยค  เช่น Your   book  is green,  mine is red.
2.2     เป็นส่วนสมบูรณ์ของกิริยา   เช่น  this  pencil is mine, that one is your.
2.3     ใช้เรียงตามหลังบุรพบท(คำเชื่อมคำเพื่อเน้นความเป็นเจ้าของให้ชัดเจนขึ้นได้เช่น  A   friend  of  yours  was  killed  last  night. 
   
              3.  Definite Pronoun นิยมสรรพนาม  คือสรรพนามที่ชี้เฉพาะและใช้แทนนามได้ ที่นิยมใช้แพร่หลายมีอยู่ 6 ตัวคือ  (รวมทั้ง which ด้วย)
                    this,   that,   one      3   ตัวนี้ใช้แทนนามที่เป็นเอกพจน์.
                   These,    those,  ones   3    ตัวนี้ใช้แทนนามที่เป็นพหูพจน์.
*นิยมสรรพนามนี้ ทำหน้าที่เป็นประธานหรือกรรมของกิริยาในประโยคได้ตามแต่ จะ ใช้งาน.

   4.   Indefinite pronoun อนิยมสรรพนาม คือสรรพนามที่ใช้แทนนามได้ทั่วไป ไม่เฉพาะเจาะจงว่าแทนคนนั้นคนนี้โดยตรง  (ตรงข้ามกับ Definite Pronoun)  ได้แก่คำว่า  some,  any,  all,  someone,  somebody,  anybody,  few,  everyone,  many,  nobody,   everybody,  other……etc.
*ข้อสังเกต ทั้งนิยมสรรพนามและอนิยมสรรพนาม  ถ้าใช้โดยมีคำนามอื่นตามหลังจะกลายเป็นคำคุณศัพท์ไป  แต่ถ้าใช้โดยไม่มีคำนามอื่นตามหลังจึงจะเป็นนิยมสรรพนามหรืออนิยมสรรพนาม.

            5Interrogative pronoun ปฤจฉาสรรพนาม  คือสรรพนามที่ใช้เป็นคำถาม  และต้องไม่มีนามตามหลังด้วยจึงจะเรียกว่าเป็นปฤจฉาสรรพนาม  ได้แก่    Who  ,  whom,  whose  ,  what,  which     ซึ่งมีวิธีใช้ดังนี้.
  •  Who   (ใคร)   ใช้ถามถึงบุคคลและเป็นประธานของกิริยาในประโยคได้ บางครั้งก็เป็นกรรมได้ เช่น.   Who   is  standing   there  ? ใครกำลังยืนอยู่ที่นั่น?
  • Whom  (ใคร)  ใช้ถามถึงบุคคลและเป็นกรรมของกิริยาหรือบุรพบท  (บางครั้งใช้ Who แทน).เช่น Whom  do  you  love ?  คุณรักใคร ?.
  •  Whose  (ของใคร)  ใช้ถามถึงเจ้าของ  และต้องเป็นบุคคลเท่านั้น เช่น.  Whose  is  the  car ?  รถคันนี้เป็นของใคร
  •  What (อะไร)   ใช้ถามถึงสิ่งของเป็นได้ทั้งประธานและกรรม  เช่น:-

                      - ถ้าเป็นประธานต้องไม่ใช้กริยาอะไรมาช่วยทั้งสิ้น เช่น 
                                      What delayed you ? อะไรทำให้คุณล่าช้า. 
                            - ถ้าเป็นกรรมต้องมีกริยาช่วยตัวอื่นมาร่วมด้วย และวางไว้หลัง What เช่น 
                                      What do you want ?
  •  Which  (สิ่งไหน อันไหน)  ใช้ถามถึงสัตว์สิ่งของเป็นได้ทั้งประธานและกรรม เช่น  ถ้าเป็นประธานไม่ต้องใช้กริยาอื่นมาช่วย  Which  is  the  best?  อันไหนดีที่สุด ?.(อนึ่งปฤจฉาสรรพนาม Whose ,which,  what นี้  ถ้าใช้โดยมีนามอื่นตามหลังก็เป็นคุณศัพท์ไป   ถ้าไม่มีนามอื่นตามหลังจึงจะเป็นปฤจฉาสรรพนาม)   


              6. Relative  Pronoun   ประพันธ์สรรพนาม  คือสรรพนามที่ใช้แทนที่อยู่ข้างหน้า และในขณะเดียวกันก็ทำหน้าที่เชื่อมประโยค ซึ่งอาจเป็นประธานของประโยคหลังได้ด้วย  ได้แก่Who,  Whom,   Whose, Which,  Where,  what,  when, why,  that .
  •        Who  (ผู้ซึ่ง)  ใช้แทนนามที่เป็นบุคคลและบุคคลนั้นจะต้องเป็นผู้กระทำด้วย เช่น    The  man  who  came  here  last  week  is  my  cousin.  ชายผู้ซึ่งมาที่นี่เมื่อสัปดาห์ที่แล้วเป็นลูกพี่ลูกน้องของฉัน.
  •      Whom  (ผู้ซึ่ง)  ใช้แทนนามที่เป็นบุคคลและบุคคลนั้นต้องเป็นผู้ถูกกระทำด้วย เช่น The  boy  whom  you  saw  yesterday  is  my  brother. เด็กชายผู้ซึ่งคุณพบเมื่อวานนี้เป็นน้องชายของผม.
  •        Whose (ผู้ซึ่ง…..ของเขา)   ใช้แทนนามที่เป็นบุคคลเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของนามที่ตามหลัง ดังนั้นเมื่อมี Whose ก็ต้องมีนามตามหลัง Whose เสมอ  เช่น  The  girl whose  father  is  a  teacher  goes  to  school  every  day.   เด็กหญิงผู้ซึ่งพ่อของเขาเป็นครูนั้นไปโรงเรียนทุกวัน.(เป็นคำแสดง ความ เป็นเจ้าของ Father).
  •     Which  (ที่,ซึ่ง)  ใช้แทนนามที่เป็นสัตว์ สิ่งของ เป็นได้ทั้งประธานและกรรม   The  animal which  has  wing  is  a  bird.  สัตว์ที่มีปีกนั้นคือนก(เป็นประธานของอนุประโยค  has  wings) The  kitten  which  I  gave  to  my  aunt  is  very  naughty.  ลูกแมวซึ่งฉันให้แก่คุณป้าของฉันไปนั้นซุกซนมาก.(เป็นกรรมของกริยา  gave ในอนุประโยค  I gave  to  my  aunt).
  •      Where  (อันเป็นที่)  ใช้แทนนามที่เป็นสถานที่ เป็นได้ทั้งประธานและกรรม เช่น  The  night  club is  the  place  where  is  not  suitable  for children. ไนท์คลับเป็นสถานที่ที่ไม่เหมาะสมสำหรับเด็กๆ(เป็นประธานของอนุประโยค is  not  suitable  for  children )  The  hotel  is  the  place  where  I  like  best .  โรงแรมเป็นสถานที่ที่ผมชอบมากที่สุด.(เป็นกรรมของ like).
  •       What  (อะไร,สิ่งที่)  ใช้แทนนามที่เป็นสิ่งของ นามที่ What ไปแทนทำหน้าที่เป็นประพันธ์สรรพนามนั้นไม่ต้องปรากฏให้เห็นอยู่ข่างหน้าเหมือนประพันธ์สรรพนามตัวอื่น ทั้งนี้เพราะถูกละไว้ในฐานะที่เข้าใจแล้ว เช่น I  know  what  is  in  the  box.  ฉันรู้ว่าอะไรอยู่ในกล่องใบนี้.
  •      When  (เมื่อ,ที่)  ใช้แทนนามที่เกี่ยวกับเวลา ,วัน,  เดือน,ปี  เช่น  Sunday  is  the  day  when  we  don’t  work.  วันอาทิตย์คือวันที่เราไม่ทำงาน
  •      Why  (ทำไม)   ใช้แทนนามที่เป็นเหตุผล  (ส่วนมากใช้แทน reason ) เช่น This  is  the  reason  why  I  go  to  Hong  Kong. นี้คือเหตุผลที่ว่า ทำไมผมจึงไปฮ่องกง
  •     That  (ที่,ซึ่ง)   ใช้แทนคนสัตว์สิ่งของและสถานที่ได้ แต่ต้องอยู่ในหลักเกณฑ์ 4  ประการอย่างใดอย่างหนึ่ง  อันได้แก่  :

      1. เป็นนามที่มีคุณสมบัติสูงสุดมาขยายอยู่ข้างหลัง เช่น He is the tallest man that I have ever seen. เขาเป็นคนสูงที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมา.

       2. เป็นนามที่มีเลขจำนวนนับที่มาขยายอยู่ข้างหน้า เช่น China is the first country that I am going to visit. จีนเป็นประเทศแรกที่ข้าพเจ้าจะไปเที่ยว.

       3. เป็นนามที่มีคุณศัพท์บอกปริมาณมาขยายอยู่ข้างหน้า เช่น She has much money that she give me. หล่อนมีเงินอยู่มากที่หล่อนจะให้ผม.

       4. เป็นสรรพนามผสมต่อไปนี้ตัวใดตัวหนึ่งปรากฏอยู่แล้ว คือ someone, somebody, something, anyone, anything, anybody, anyone, everything, no one, nothing, etc. เช่น There is nothing that I can do for you. ไม่มีอะไรที่ผมจะช่วยคุณได้.


7. Reflexive Pronoun สรรพนามสะท้อนหรือเน้น ได้แก่บุรุษสรรพนามที่ 5 นั่นเอง อันได้แก่ myself, yourself, ……. Themselves. เวลาใช้มีวิธีใช้ 4 อย่างคือ :-

               1) เรียงไว้หลังประธาน เมื่อต้องการเน้นว่าประธานเป็นผู้กระทำกิจนั้นด้วยตนเอง เช่น 
 I myself study English. ผมเรียนภาษาอังกฤษด้วยตนเอง.

               2) เรียงไว้หลังกริยา เมื่อบอกว่าผลการกระทำนั้นเกิดจากผู้กระทำเองเช่น 
 I will punish myself if I do mistakes ผมจะลงโทษตัวเอง หากผมทำผิด.

               3) เรียงไว้หลังกรรม เมื่อต้องการเน้นกรรมนั้นเช่น I spoke to the President himself . ผมได้พูดกับตัวท่านประธานาธิบดีเอง.

               4) เรียงไว้หลังบุรพบท by วางไว้สุดประโยคทุกครั้งไป เมื่อต้องการแสดงว่าประธานผู้นั้นกระทำกิจนั้นโดยลำพังคนเดียว เช่น Pranee makes her dress by herself.


8. Distributive Pronoun วิภาคสรรพนาม คือสรรพนามที่ใช้แทนคำนามในการแบ่งหรือจำแนกออกเป็นครึ่งหนึ่ง, สิ่งหนึ่ง, หรือตัวหนึ่ง วิภาคสรรพนามที่นิยมใช้กันมากคือ

each แต่ละ, either คนใดคนหนึ่ง, neither ไม่ใช่ทั้งสอง หรือไม่ใช่ทั้งสอง เช่น

There are ten boy each has one hundred bath. มีเด็กอยู่ 10 คน แต่ละคนมีเงินอยู่คนละ 100 บาท.
*   ข้อสังเกต   วิภาคสรรพนามถ้าใช้ลอยๆเป็นสรรพนาม  แต่ถ้าใช้โดยมีนามอื่นตามหลังจะเป็นคุณศัพท์ 

วิดีโอที่น่าสนใจ:

Pronoun Song - "I am Happy"





English Lesson - Pronouns